แนวทางการลงทุนที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ที่มีแนวคิดแตกต่างกัน ทำให้กลยุทธ์ในการลงทุนที่ออกมาก็แตกต่างกันไปด้วยในบางครั้ง วันนี้เราจะลองมาดูกันว่าแนวทางการลงทุนแบบไหนที่จะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า ด้วยวิธีการวิจัยแบบ Quantitative ครับ
โดยการทดสอบครั้งนี้ เราจะลงทุนในตลาดหุ้นของไทยเท่านั้น เนื่องจากสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตลาดหุ้นต่างประเทศ ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นยังไม่มีข้อมูลบางอย่าง เช่น ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานเพื่อทำ Fundamental Analysis เราจึงต้องเลือกสินทรัพย์ที่สามารถใช้ทดสอบได้กับทั้ง Technical Analysis และ Fundamental Analysis ได้อย่างเท่าเทียมกันครับ
กลยุทธ์การลงทุนด้วย Technical Analysis
หลายคนมักจะเริ่มลงทุนด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะการดูกราฟนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นได้ และดูเหมือนจะเข้าใจง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับการวิเคราะห์รูปแบบอื่นๆ นอกจากนี้การวิเคราะห์กราฟนั้นยังมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่าถ้าเราเข้าใจแนวคิดแล้ว เราก็สามารถเอาการวิเคราะห์กราฟไปใช้ได้กับการลงทุนในทุกสินทรัพย์ทั่วโลก
หลังจากการทดลองด้วยตัวผมเองก็พบว่าการวิเคราะห์กราฟนั้นสามารถใช้กับทุกสินทรัพย์ได้จริง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัว และทำความเข้าใจความแตกต่างของแต่ละสินทรัพย์พอสมควรเลยครับ
ที่สำคัญก็คือการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น ไม่ใช่แค่เอาข้อมูลมาแปะๆ ก็ได้คำตอบแล้ว แต่คือการใช้ข้อมูลราคาที่มี มาคำนวณด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์มากมาย จนออกมาเป็นเส้นกราฟหลากสีสัน เพื่อ “ช่วยเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์” แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดในการลงทุน เราจึงต้องใช้เวลาศึกษาแนวทาง Technical Analysis ไม่ต่างอะไรจากกลยุทธ์อื่นๆ เลยครับ
ทดสอบการใช้ Technical Analysis ด้วย Momentum Based
วันนี้เราจะทดสอบผลตอบแทนในการลงทุนด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค ตามแนวทาง Momentum Based หรือแนวโน้มของราคาครับ
เงื่อนไขในการทดสอบ
- ใช้กลยุทธ์ 52 Week High หรือลงทุนในสินทรัพย์เมื่อราคาทะลุแนวต้านใหญ่ในรอบ 52 สัปดาห์หรือ 1 ปี และใช้ Indicator ใส่เข้าไปเพิ่มเติมเล็กน้อย
- เงินตั้งต้นในการลงทุน 1 ล้านบาท
- ซื้อหุ้นสูงสุดไม่เกิน 20 ตัว
- ซื้อหุ้นสูงสุดไม่เกิน 5% ต่อ 1 ตัว ถ้ามีสัญญาณซื้อแค่ 10 ตัว ก็หมายความว่าเราจะถือหุ้น 50% และถือเงินสดไว้รอสัญญาณซื้ออีก 50%
- ช่วงเวลาทดสอบคือ มกราคม 2000 – พฤศจิกายน 2020
ผลการทดสอบแนวทาง Technical Analysis
จากภาพประกอบจะเห็นได้ว่าในช่วงการลงทุน 20 ปีนี้ เงิน 1 ล้านของเรางอกเงยเป็น 31.7 ล้าน คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 18% ต่อปีเลยทีเดียว เรียกว่าแม้จะมีวิกฤตหลายครั้งหลายครา ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่ยังสร้างผลตอบแทนได้ถึง 4.9% ในขณะที่ Set Index ยังติดลบอยู่ถึง 14 %
แม้ผลตอบแทนจะน่าสนใจ แต่ในความจริงแล้วการที่นักลงทุนจะยึดแนวทางเดิม และเทรดอย่างเป็นระบบโดยไม่ผิดพลาดได้อย่างต่อเนื่องตลอด 20 ปีนั้น เป็นเรื่องยากมากๆ เลยครับ และที่สำคัญคือการทดสอบนี้เป็นการดูข้อมูลในอดีต ซึ่งไม่ได้เป็นการการันตีผลตอบแทนในอนาคต ดังนั้นแล้วอย่าลืมศึกษาและกลยุทธ์การลงทุนให้เข้าใจมากที่สุดก่อนที่จะเริ่มลงทุนนะครับ
ทดสอบแนวทาง Fundamental Analysis ด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Based
สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนี้ เราจะเลือกใช้ F-Score formula ของ Mr.Joseph D. Piotroski ซึ่งใช้ 9 ปัจจัยในการเลือกหุ้นตามแนวทาง Value Investing เพื่อให้เลือกหุ้นมาลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ และที่สำคัญก็คือหลายแพลตฟอร์มในไทยมีการคำนวณคะแนนให้แล้ว ดังนั้นนักลงทุนจะสามารถเอาข้อมูลไปศึกษาค้นคว้าต่อได้อย่างไม่ยากนักครับ
โดยดัชนีชี้วัดนั้นจะมีหลายมุมมอง ได้แก่
- มุมมองเชิงคุณภาพของบริษัท ก็คือกำไรนั่นเอง เช่น ROA หรือ Cash Flow
- มุมมองด้านการอยู่รอด เช่น DE Ratio
- มุมมองด้านประสิทธิภาพในการดำเนินการ เช่น Gross Profit Margin
- มุมมองด้านการเติบโต เช่น Sale Growth หรือ CAPEX
เงื่อนไขในการทดสอบ
- ลงทุนในตลาดหุ้นของไทย เช่นเดียวกับการทดสอบ Technical Analysis
- ซื้อขายแบบ Rotation เปลี่ยนหุ้นในพอร์ตทุกหนึ่งปี เรียงตามคะแนนของหุ้นตาม F-Score formula ของ Mr.Joseph D. Piotroski
- เงินตั้งต้นในการลงทุน 1 ล้านบาท
- ซื้อหุ้นสูงสุดไม่เกิน 20 ตัว
- ซื้อหุ้นสูงสุดไม่เกิน 5% ต่อ 1 ตัว ถ้ามีสัญญาณซื้อแค่ 10 ตัว ก็หมายความว่าเราจะถือหุ้น 50% และถือเงินสดไว้รอสัญญาณซื้ออีก 50%
- ช่วงเวลาทดสอบคือ มกราคม 2000 – พฤศจิกายน 2020
จากภาพอาจจะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาน่าตื่นเต้นเท่ากับการวิเคราะห์เชิงเทคนิคครับ ด้วยเหตุผลสองข้อ ข้อแรกคือการ Rotation ทุกหนึ่งปี โดยในปี 2020 ซึ่งหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 นั้น เราจำเป็นต้องเก็บหุ้นทั้งหมดเอาไว้ จนทำให้ Max DD หรือการขาดทุนสูงสุดลงมาถึง 64 % ถ้าเราตัดช่วงวิกฤติออกไป Max DD จะเหลือแค่ 23% เท่านั้น และข้อที่สองก็คือการกระจายน้ำหนักในการลงทุนไปในหุ้นถึง 20 ตัว เพื่อให้การทดสอบทั้งสองทฤษฎีมีเงื่อนไขเดียวกัน เพราะโดยส่วนใหญ่สาย Value จะเน้นโฟกัสไปที่หุ้นบางตัว มากกว่าการกระจายเงินครับ
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่ากลยุทธ์แบบไหนก็มีข้อดีของตัวเองเสมอ และนักลงทุนแต่ละคนก็อาจจะเหมาะกับกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป การศึกษาหลายๆ กลยุทธ์ก่อนตัดสินใจเลือกแบบที่เหมาะกับตัวเราอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนครับ
Hybrid Investment ผสานการลงทุนด้วยส่วนผสมที่ (อาจจะ) ลงตัวที่สุด
สุดท้ายนี้ เราจะลองใช้ทั้งกลยุทธ์ Fundamental Analysis และ Technical Analysis ไปพร้อมๆ กัน หมายความว่าเราจะใช้ทั้งข้อมูลด้านราคาอย่าง Momentum และข้อมูลพื้นฐานในงบการเงินอย่าง Value, Size และ Growth มาประกอบกันเพื่อดูผลตอบแทนในการลงทุนครับ โดยเงื่อนไขทั้งเงินตั้งต้น ระยะเวลา และจำนวนหุ้นเท่ากับผลการทดสอบทั้งสองข้อด้านบน
จากภาพจะเป็นว่าผลตอบแทนต่อปีนั้นสูงถึง 34% โดยเงินตั้งต้น 1 ล้านบาทของเรา งอกเงยเป็น 415 ล้านภายใน 20 ปีเท่านั้นครับ และ Max DD ก็อยู่ที่เพียง 22 % เท่านั้น ซึ่งถูกฉุดลงมาเพราะในช่วงโควิด-19 ในปี 2020 เช่นกัน
ประเด็นที่น่าสนใจคือ โดยปกติแล้วการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างเดียว มักจะให้อัตราการชนะ (% Win) ที่ต่ำอยู่แล้ว และพอเรานำปัจจัยอื่นมาช่วย ก็ทำให้อัตราการชนะเพิ่มขึ้นอีกจน Average Win/Loss ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตลอด 20 ปีนั้น มีเพียง 2 ปีเท่านั้นที่ผลตอบแทนติดลบ คิดเป็น Positive Year ที่ 90 % เลยทีเดียวครับ
และสุดท้าย เราจะเห็นว่าค่า Correlation ของกลยุทธ์นี้ที่มีค่าเพียง 0.4 เท่านั้น เมื่อเทียบกับตลาด Set Index เหตุผลก็เพราะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงแทบทุกชนิดในช่วงท้ายของการทดสอบ มีการขึ้นลงแทบจะพร้อมกัน ต่างกันแค่การผันผวนเท่านั้น พอเราสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่ผันผวนตามตลาดได้ จึงทำให้ผลตอบแทนดีมากขึ้นครับ
นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งข้อยืนยันได้ว่า บางทีอาจจะไม่มีกลยุทธ์เดียวที่ดีที่สุด แต่การรวมตัวกันของกลยุทธ์หลายๆ อย่าง อาจจะทำให้เกิดกลยุทธ์ใหม่ที่อาจจะลงตัวที่สุดสำหรับเราก็ได้ครับ
การวิเคราะห์และคาดการณ์ราคาบิทคอยน์
แม้ว่าบิทคอยน์จะยังไม่มีปัจจัยพื้นฐาน เช่น งบการเงินมาให้เราได้วิเคราะห์กัน แต่ข้อมูลด้าน Demand และ Supply ทำให้เราสามารถสร้างโมเดลมาเพื่อคาดการณ์ในอนาคตได้ โดยเจ้าโมเดลนี้มีชื่อว่า Stock to Flow Model ซึ่งมีความแม่นยำในอดีตค่อนข้างสูงมาก แต่อนาคตก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดเดาได้อย่างแน่นอนครับ
สำหรับในกราฟนั้น เส้นการคาดการณ์นั้นคือเส้นม่วงและฟ้า ส่วนเส้นที่มีการขยับขึ้นลงก็คือราคาบิทคอยน์ จะเห็นได้ว่าในระยะยาวนั้นมีความแม่นยำพอสมควรเลย แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะมี error ผิดพลาดไปบ้างครับ
ก่อนจากกันไป อย่าลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ และการมีข้อมูลความรู้ให้มากที่สุด ก็จะช่วยให้เราสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจ ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หวังว่าบทความนี้และการทดสอบอื่นๆ ที่เราตั้งใจทำออกมา จะช่วยเป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนให้กับทุกคนได้ครับ และถ้าพร้อมจะเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ววันนี้ อย่าลืมมาเทรดกันได้ฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม ที่ Zipmex นะครับ